เส้นบางๆของความสัมพันธ์บนโลก Online

ด้วยความที่ผมนั้นเรียนมาทางด้านที่ต้องทำงานเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ และมีโอกาสได้ทำงานอยู่ในสายงานออนไลน์ ทำให้ผมต้องออนไลน์อยู่แทบจะตลอดเวลา จนถูกหลายๆท่าน ค่อนแคะ แซว ว่าไม่ทำงานเหรอไง?

พออธิบายไปแล้วว่างานผม(กู)คือการออนไลน์ ก็ถูกแซว ค่อนแคะ ต่อไปว่า “แถ”

ซึ่งผมเองก็รู้สึกหงุดหงิดบ้าง ไม่รู้สึกบ้าง จนตอนนี้เริ่มชิน จนไม่คิดอะไรแล้ว และเลือกที่จะ หัวเราะ (แหะ แหะ) กลับไป เพราะต่างคนคงมีแนวคิดที่แตกต่างกัน เราคงเปลี่ยนอะไรใครไม่ได้

ด้วยความที่ต้องทำงานทางด้านนี้เยอะ และใช้เวลาอยู่กับคอมพิวเตอร์เยอะ (เมื่อเทียบกับคนทั่วไป แต่ผมรู้ว่ามีคนอีกเยอะที่ออนไลน์ด้วยเรื่องงานเยอะกว่าผมอีกมากนัก) ทำให้ผมมีโอกาสได้สร้างความสัมพันธ์กับคนจำนวนมากผ่านทางช่องทางออนไลน์ ทั้งกับ

การเจอเพื่อนเก่าๆที่ไม่ได้เจอกันนานแล้ว หรือกับเพื่อนใหม่ๆที่พึ่งรู้จักกัน

จนบางครั้งผมก็รู้สึกว่าความสัมพันธ์หลายๆอันที่เกิดขึ้นนั้น มันค่อนข้างลุกล้ำความเป็นส่วนตัวของผมเอง…

หลายๆคนชอบคิดว่า การแสดงออกผ่านทางช่องทาง Social Media นั้น คือการแสดงตัวตน “ทั้งหมด” ของคนคนหนึ่งออกมา (อาจจะเพราะตัวเองทำกระมัง) แต่ผมขอยืนยันว่า สำหรับตัวผมเองนั้น มันเป็นเพียงแค่เปลือกชั้นหนึ่งเท่านั้นเองที่แสดงออกมา แถมมันเป็นเปลือกที่หลายๆครั้งถูกสร้างอย่างตั้งใจด้วย จนบางครั้งผมกลัวที่เปลือกเหล่านี้ มันดูแนบเนียน จนทำให้คนนู้นคนนี้ คิดอะไรไปเองจนมากเกินไปหรือเปล่า

ความคึกคะนองหลายๆอย่างที่สร้างออกมานั้น ผมยอมรับว่าเป็นเรื่องจริง แต่มันเป็นเรื่องจริงแค่ด้านเดียวเท่านั้น…

962eea8f2049ce0

ผมเองเป็นคนหนึ่ง ที่ไม่ค่อยกล้าตัดสินคนจากเท่าที่เห็น…
และไม่กล้าที่จะคิดว่าเท่าที่เราเห็นคือทั้งหมดของเขา

และผมเองก็ไม่กล้าจะไปคิดว่าตัวเองสนิทกับใคร
แต่ผมรู้สึกว่ามีคนคิดว่าเขาสนิทกับผมมากเหลือเกิน…?

ความสนิทในความหมายของผมนั้น คือขอบเขตปฏิสัมพันธ์ระหว่างกัน คือการที่ผมจะกล้าพูดอะไรบางอย่างกับใครสักคน และ กล้าที่จะรับสิ่งที่ใครสักคนจะพูดอะไรกับผม

และผมมักจะให้ความสนิทกับคนที่เคยเจอกันแล้วตัวเป็นๆ หรือว่าเคยร่วมประสบการณ์อะไรบางอย่างมาด้วยกันเสียมากกว่า

ทีนี้…

ในโลกของ Social Media นั้น แม้จะเป็นการสื่อสารกัน 2 ทาง
ผมกลับมองว่าจริงๆแล้ว มันเป็นการสื่อสารเสมือน 2 ทางมากกว่า
คือมันเป็นการสื่อสารที่เราไม่รู้อวจนะภาษาซึ่งซ่อนอยู่หลังตัวหนังสือที่สื่อมา

บางครั้งเราอาจจะ แซว ด้วยรอยยิ้ม
แต่คนอ่านอาจจะไม่ชอบใจ เพราะเขาไม่รู้ว่าเรายิ้ม

บางครั้งเราอาจจะพูดโดยไม่คิด เลยล้ำเส้นมากเกินไป

เลยทำให้เกิดการผิดใจกันได้ง่าย

หลายๆครั้งผมเองก็ทำผิดกับคนอื่นด้วยความไม่รู้
แต่ผมจะขอโทษเมื่อรู้ว่าตัวเองผิด

แต่หลายๆคนในโลก Social กลับไม่เป็นอย่างนั้น อย่างกรณีที่เกิดขึ้นเมื่อเร็วนี้ที่มีคุณลุงท่านหนึ่งทำการเสนอการเลี้ยงดูให้กับผู้หญิงคนหนึ่ง ซึ่งพอเรื่องแดงคุณลุงกลับยกเหตุผลล้านแปดบนโลกมาแถ ว่าการเสนอนั้นเพื่อจะได้ไม่ต้องให้น้องเขาต้องไปขายเนื้อหนัง

และทำไปก็เพราะหวังดี ซึ่งเอาเข้าจริงๆเด็ก ป.3 ที่ข้างบ้านผมก็รู้ว่ามันไม่จริง…

หรืออย่างผมเองนั้น ผมก็เคยเจอเหตุการณ์แบบนี้มาหลายคนจนต้องค่อยๆถอนตัวออกจากหน้า Wall Facebook ของคน(เคย)รู้จักหลายๆคน

เพราะเขาล้ำเส้นของผมเข้ามาถึงจุดที่ผมคิดว่า ผมถอยเองดีกว่า

ล่าสุดผมเจอการล้ำเส้นที่ผมไม่เข้าใจแนวคิดเบื้องหลังการล้ำเส้นนั้นเลย ผม share รูปของบรรดาเหล่าผู้ชายในเรื่องแรงเงาที่เป็นการโปรโมทละครของทางช่อง 3 ซึ่งมีเนื้อหาว่าผู้ชายในเรื่องนั้นน่าสนใจเหลือเกิน ผมก็แชร์ไปด้วย caption ของตัวเองที่ว่า “โลกอยู่

ยาก… มาก…” แต่ก็มีเพื่อนใน Facebook ท่านหนึ่งมาหยอกด้วยการพูดถึง ภรรยา ของ

“ผม ว่าผมอยากนอกใจภรรยาเพราะภาพนั้นหรือ?” 

ผมเองก็ออกตัวว่า

“ผมว่าเรื่องที่คุณพูดนั้นแรงไปนะครับ”

แต่สิ่งที่เขาโต้ตอบมานั้น กลับกลายเป็นว่า

“ไม่แรงหรอก ระดับผมน่าจะไม่ระคายผิว…”

ซึ่งผมเองยอมรับว่าไม่ได้รู้สึกสนุกสนานกับเขาไปด้วยเลย

ผมก็เลยต้องอธิบายให้เพื่อนท่านนั้นรับรู้ว่า
ผมคิดว่าการกระทำนี้ค่อนข้างเกินขอบเขตที่ผมรับได้ และที่สำคัญผมกับเขาไม่ได้สนิทกันขนาดนั้น

ท้ายที่สุดผมยินดีที่เขาเข้าใจ และยอมรับในสิ่งที่ผมพยายามอธิบาย เพราะผมเองก็เคารพตัวของเพื่อนท่านนั้นในแบบที่เขาเป็น

ผมเองคิดเสมอตามคำสอนของพ่อผมว่า ถ้าผมไม่อยากให้ใครทำอะไรไม่ดีกับผม ผมก็ไม่ควรทำอะไรดีกับคนอื่นเช่นกัน ผมรู้ว่าหลายๆครั้งผมก็ทำผิดพลาดไป และก็ยังคงพยายามจะปรับปรุงตัวให้ดีขึ้นเสมอ…

ชีวิตคือการเรียนรู้ใช่มั้ย?

จุดธูป จุดธูป จุดธูป ครีเอท…

อ่านเจอ status ของเพื่อนเต้ คุณไกรวุฒิ จุลพงศธร ผู้มีความสามารถหลากหลาย เมื่อเดือนก่อน เขาเขียนเอาไว้ถึงเรื่องของมุมมองการมองหนังอาร์ต เป็นเพลงที่เราร้องกันตอนเข้าบ้านรับน้องตอนอยู่ จุฬาฯ

04486_002

ในช่วงนั้นการรับน้องจะแบ่งเป็นบ้านๆ แต่ละบ้านก็จะเอานิสิตใหม่จากคณะต่างๆมารวมกันอยู่ กิจกรรมต่างๆก็คือการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนต่างคณะ และรุ่นพี่รุ่นน้อง

โดยผ่านการเต้นสันทนาการ และ ร้องเพลง

หลายๆเพลงยังคงติดตรึง (หรืออีกมุมคือหลอกหลอน) อยู่ในหัวของผมตลอดมาจนถึงทุกวันนี้ แม้เวลาขวบปีจะล่วงเลยไปเกินทศวรรษ

เพลงหนึ่งที่ยังติดตรึงอยู่ก็คือ จุดธูป…

ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่า ชื่อเพลงนี้มันชื่อ “จุดธูป” จริงๆหรือเปล่า

เนื้อเพลงของเพลงนี้จะร้องว่า

“จุดธูป จุดธูป จุดธูป ครีเอท…
พรีเซนท์ พรีเซนท์ พรีเซนท์ รัศมี…
สับสน สับสน แลดู สับสน…
ดูเหมือน ดูเหมือน ดูเหมือน จบแล้ว…”

จากวันนั้น ที่เต้ เขียนเอาไว้ ผมก็มานั่งนึกๆถึงความแยบยลของเพลงนี้ พอมาเจียรนัยความหมายดู ผมว่ามันน่าทึ่งนะ มันสะท้อนรูปแบบของการทำงานในชีวิตจริงๆของหลายๆอาชีพได้เลยทีเดียว

ในฐานะนักการตลาด… หลายๆครั้งงานที่ผมคิดขึ้นมา มันก็มาจากการจุดธูป… แล้วนั่ง (เทียน) คิดเอา เองว่ามันใช่

ในฐานะของนักเขียน… หลายๆครั้งผมเลือกจะยกเอาทฤษฏีที่ดูยากๆ มาอวดอ้างในการเสริมความคิดของผมให้ดูดี ดูถูกต้อง

ในฐานะของที่ปรึกษา… บางทีผมก็รู้ว่าสิ่งที่ผมนำเสนอไปกับลูกค้านั้น มันดูแสนจะสับสน และวุ่นวาย…

และในหมวกทุกๆใบที่ผมสวม ผมเชื่อว่าหลายๆครั้ง ลูกค้าก็จะงงๆ และดูเหมือนว่า อ้าว… งานมันจบแล้วเหรอ…

The Hunger Game เกมล่าชีวิต

hunger1ไม่เคยรู้จักหนังสือเรื่องนี้มาก่อนเลย ถึงแม้ว่ามันจะถูกแปลมานานหลายปีแล้ว อาจจะเคยเห็นบ้าง แต่ด้วยความสัตย์จริงๆผมคิดว่ามันเป็นแนวอาชญวิทยาซะมากกว่า อาจจะเป็นเพราะผมชอบไปติดกับค่ายสำนักพิมพ์และคิดไปเองว่าค่ายนี้เป็นแนวนู้น แนวนี้ ก็ว่าไป

อย่างไรก็ตามด้วยการะแสที่ภาพยนตร์กำลังมาแรง ผมเลยต้องไปหามาอ่าน แล้วพอได้ลองอ่านก็บอกได้เต็มปากว่าสนุกจริง

โครงเรื่องหลักๆนั้น ผมพูดได้เต็มปากว่ามันคือ Battle Royal ภาคภาษาอังกฤษนั่นเอง

ซึ่งผมยังค่อนข้างสงสัยอยู่นิดหน่อย เพราะผมคิดว่านิยายเล่มนี้เป็นวรรณกรรมเยาวชน แต่ความโหดของมันก็ใช่เล่นเลย

กลิ่นอายหนึงซึ่งปกคลุมไปทั่วหนังสือตลอดเวลาที่ผมอ่านหนังสือเล่มนี้เป็นเวลา 2 วันนั้น ผมว่ามันมีความกลัวแอบแฝงอยู่กับทุกตัวหนังสือ และแอบซ่อนไปด้วยตลกร้ายของนางเอก

หนังสือเล่มนี้ถ่ายทอดการเล่าเรื่องผ่านทางมุมมองของแคตนิสนางเอกวัย 14 ของเรื่อง ทั้งการแดกดัน การคิดเอาชนะ การทำไปตามอารมณ์ ผมมองว่าทุกอย่างนั้นถูกทำไปด้วยสัญชาติญาณดิบในตัวของคน และแน่นอนว่ามีความกลัวอยู่ด้วย

เมื่อเด็กอายุ 12-18 ปี จาก 12 เขตต้องถูกเลือกขึ้นมา แล้วเข่นฆ่ากัน

มันคงหลีกเลี่ยงคำว่าโหดร้ายไม่ได้

แต่เบื้องหลังความโหดร้าย การเอาชีวิตรอด

ก็มีความสนุกตื่นเต้น ลุ้นอยู่ทุกๆบรรทัดที่อ่านเลยทีเดียว…

ปล.อย่างน้อยก็ดีใจที่อ่านจบก่อนหนังเข้า…

จาก http://bangkokian-bibliophile.blogspot.com/2012/03/hunger-game.html

The Simple Truth

“Good cooking makes good eating!”

เวลาจะช้า… จะเร็ว

ในหลายๆครั้งเราเองอยากจะให้เวลาเดินหมุนไปเร็วดังแสงวูบผ่าน บางครั้งเราก็อยากจะให้มันเดินเชื่องช้าดุจหยดน้ำที่ค่อยๆหยดลงมาอ้อยอิ่ง

ไอนสไตน์เคยกล่าวไว้ว่า

“A man sits with a pretty girl for an hour, it seems like a minute. He sits on a hot stove for a minute, it’s longer than any hour. That is relativity.”

ซึ่งหากถอดความออกมาคงได้ประมาณว่า

“ถ้าผู้ชายคนหนึ่งนั่งข้างๆกับสาวสวยเป็นเวลาชั่วโมง, เขาคงรู้สึกเหมือนกับว่าเวลผ่านไปเพียงนาที

แต่ถ้าเขาไปนั่งอยู่บนเตาไฟเพียงแค่นาที, มันคงจะเป็นเวลาที่ยาวนานเหมือนเป็นชั่วโมง

มันคือรูปแบบความสัมพันธ์ของเวลา”

บางทีผมเองก็อยากจะให้เวลาบางอย่างผ่านไปอย่างรวดเร็วเพื่อจะหลีกพ้นมันไป อย่างตอนเรียนหนังสือปริญญาโท ไม่มีวินาทีไหนที่ผมอยากจะเก็บมันและขอให้มันยืดยาวเลย ผมอยากจะหลับตาไปวูบหนึ่งแล้วตื่นขึ้นมาโดยรับปริญญาเรียบร้อย

แตกต่างจากตอนเรียนอยู่ปริญญาตรีปี 4 ผมอยากจะยืดเยื้อเวามันให้ยาวขึ้นแม้จะได้เพียงนิดเดียว…

แต่ไม่ว่าจะเป็นเหตุการณ์ไหนก็ตาม…

เวลามันก็ไม่เคยตามใจเราหรอก…

time

ก็ว่าเป็นคนดูหนังธรรมดาๆนะ

มาจะกล่าวบทไปก่อนนะครับ คือผมเป็นคนดูหนัง แบบประเภทว่าเป็นชาวบ้านจริงๆ ไม่ได้มีความรู้เรื่องการถ่ายภาพยนตร์อะไรเท่าไร มุมก้งมุมกล้องก็ไม่รู้หรอกว่าแบบไหนสวยไม่สวย บทก็อีก ที่จะพอรู้ๆก็มีแค่ว่า “บทห่วยว่ะ ไม่ชอบ (ซึ่งก็มาจากมุมมองของตนเองล้วนๆ)”

ดังนั้น การพูดถึงภาพยนตร์เรื่องต่างๆของผม อาจจะไปขัดหูขัดตาขัดตีนคนอื่นๆที่ติสท์มากๆก็เป็นได้ แต่ผมก็เชื่อว่า คนดูหนังโดยมาก น่าจะเป็นแบบผม ก็คือ “ชาวบ้านธรรมดาๆ”

และผมก็เชื่อว่า หลายๆที ที่เราแต่ละคนมีมุมมองต่อภาพยนตร์แต่ละเรื่องแตกต่างกัน และเพลียที่หลายๆคนชอบตัดสินคนอื่นว่า “ดุหนังไม่เป็น”

pirates caribbean movie poster wall

ผมมีเพื่อนคนหนึ่งซึ่งเขามีงานอดิเรกเป็นพนักงานออฟฟิซ และงานหลักเป็นนักทำหนังสั้น และมีความสามารถที่เคยได้รับรางวัลระดับโลก

เขาเล่าให้ผมฟังว่า มีหนังสั้นเรื่องหนึ่งที่เขาส่งเข้าประกวด ขณะที่เขาฉายอยู่ให้กลุ่มคนในงานประกวดดู มีฉากตัวเอกเดินเตะถังขยะล้ม แล้วกล้องก็ซุมเข้าไปเห็นถังขยะและเศษขยะที่หล่นออกมา

พอหนังฉายจบก็มีคนดูคนหนึ่งเดินเข้ามาหาเพื่อนผมด้วยความตื้นตันใจ เดินมาจับมือและบอกว่า “ชอบฉากถังขยะนั้นมากๆ มันเป็น Symbolic ที่เจ๋งมาก สะท้อนการล่มสลายของสังคมได้เป็นอย่างดี” พร้อมทั้งกล่าวชมอีกหลายอย่าง เพื่อนผมได้แต่เออออ ยิ้มให้เขาไป

เพื่อนของผมไม่รู้จะบอกกับแฟนหนังคนนั้นยังไง เพราะว่าเพื่อนของผมไม่ได้ตั้งใจจะสื่ออะไรกับฉากนั้นเลย…

ดังนั้น แต่ละคนคงมีความคิดเห็นที่แตกต่างกันไปในเรื่องของการชมภาพยนตร์ครับ และเราก็ไม่น่าจะไปตัดสินอะไรใครกัน… นะ

แล้วโพสต่อๆไปผมจะขอเอาเรื่องหนังที่ได้ดูมา ชอบบ้าง ไม่ชอบบ้าง มาเล่าสู่กันฟังครับ

Source จาก bangkoian.drama.rama

ค่ำคืนที่นอนไม่หลับ

ทุกครั้งที่ต้องทำงานก่อนนอน มันมักจะเป็นค่ำค่ืนที่ผมยากข่มตาเสมอ คืนนี้ก็เช่นกัน เสีงของค่ำคืนมันดึงดูดให้ผมอยู่เป็นเพื่อนของมัน แม้ว่าเวลาจะถูกเข็มนาฬิกาพาเข้าใกล้เที่ยงคืนไปทุกทีๆ

หลายปีก่อน ค่ำคืนวันเดียวกันนี้ เวลาใกล้ๆกันนี้ เป็นเวลาที่ผมสูญเสียอะไรบางอย่างไป …อย่างไม่มีวันกลับ

คุณแม่ของผมจากไปในค่ำคืนรอยต่อแห่งวันที่ 12 และ 13 มีนาคม…

ในคืนที่อากาศร้อนอบอ้าว… เหมือนค่ำคืนนี้

ผมยังมีความทรงจำถึงค่ำคืนนั้นอย่างครบถ้วน แม้ผมจะไม่ได้ปริปากบอกใคร มันเป็นความจำที่เกิดขึ้นโดยผมไม่แน่ใจว่าตั้งใจหรือเปล่า แต่ผมรู้ว่ามันจะติดตัวผมตลอดไป

นับตั้งแต่วันที่หัวใจส่วนหนึ่งของผมแตกสลายไปนั้น ผมยังคิดถึงแม่อยู่ตลอดเวลา ในทุกที่ที่เราเคยไปด้วยกัน ในทุกๆเหตุการณ์ที่มันเกิดทับซ้อนขึ้นมาในความทรงจำของผม

ร่องรอยแห่งเวลาที่ซ้อนทับกาลเคลื่นที่ของการเวลา มันทำให้ผมต้องหยุดนิ่งเสมอ

และทุกครั้งที่หยุดนิ่ง… ผมก็คิดถึงเธอ

ในความเชื่อด้านศาสนาของผม ผมเองรู้ว่าเราจะได้พบกันอีกครั้ง และชั่วทุกขณะจิตนี้… ใจลึกๆของผมก็แอบเร่งเวลานั้นอยู่เหมือนกัน…

สัจจนิยมนวนิยาย จากมาเฟียบู๊ลิ้ม

1331026493

“คนเมื่อไม่มีเงินทอง สมองนึกถึงแต่ขนมเปี๊ยะช่วยให้อิ่มท้อง ไม่ว่าศีลธรรมจรรยา ตลอดจนมารยาทธรรมเนียมใดล้วนไม่คำนึงถึง แต่พอมีเงินมีอำนาจ ก็เริ่มใฝ่ฝันถึงสิ่งที่ไม่คำนึงนึกถึงมาก่อน”

จาก มาเฟียบูู๊ลิ้ม เล่ม 8

บางที

บางทีผมค้นพบตัวเองว่า การไม่พูด อาจช่วยให้อะไรดีขึ้น และผมเริ่มเรียนรู้มากขึ้น ก็ตอนที่อายุล่วงเลยมาถึงจุดนี้

บางทีการที่เราพูดอะไรออกไป แม้มันจะเป็นสิ่งที่ถูกต้อง แต่มันก็อาจจะไม่ถูกใจ ไม่ถูกกาละเทศะ

ตอนที่ยังเยาว์วัยกว่านี้ การพูดเป็นการแสดงออกที่ดีที่สุดในความคิดของผม

แต่ตอนนี้การไม่พูดกลับเป็นการแสดงออกที่ผมคิดว่าทรงพลังและแข็งแกร่งที่สุด…

ความคิดตกผลึกเรื่องมุมมองต่อชาวญี่ปุ่น

ช่วงหลังมีโอกาสได้อ่านเรื่องของการเถลิงอำนาจของชาวญี่ปุ่น (ผมเลือกใช้คำนี้เอง เพราะสำหรับตัวเอง ญี่ปุ่นเถลิงอำนาจจริงๆ) ในเหตุการณ์ที่เกี่ยวเนื่องกับประเทศต่างๆโดยทางอ้อมอยู่หลายครั้ง ไม่ว่าจะผ่านทางนิยายของ อันฉี หมิน ทั้ง 2 เล่มที่เกี่ยวเนื่องกับซูสีไทเฮา และหนังสือเรื่องสงคราโลกทั้ง 2 เล่มอย่าง  Letters From Iwo Jima และ Flags of Our Fathers

ในช่วงเวลานั้นเห็น เลยว่าญี่ปุ่นได้เป็นผู้รุกรานดินแดนเอเชียตะวันออกอย่างแท้จริง ยิ่งมีโอกาสได้หาข้อมูลเรื่องของความโหดร้านของชาวญี่ปุ่น ในฐานะผู้รุกราน (ซึ่งส่วนตัวแล้วเชื่อว่า ชาติไหนรุกรานชาติอื่นๆก็โหดร้ายทั้งนั้น)

พออ่านแล้วก็เพลียใจไป ทั้งๆที่ตัวเองก็ชื่นชอบอะไรๆญี่ปุ่นอยู่เช่นกัน…

pim_wisa

พอรู้สึกไม่ดีแบบนี้แล้ว…

เลยต้องไปดู AV ย้อมใจ เพื่อคืนความรู้สึกดีๆแก่ชาวญี่ปุ่นซะแล้ววววว

maria-ozawa